Water Treatment เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความเข้าใจในคุณภาพของน้ำต้นทาง (Raw Water) อย่างละเอียด เพราะแหล่งน้ำแต่ละประเภท เช่น น้ำบาดาล น้ำประปา หรือน้ำผิวดิน มีความแตกต่างกันทั้งในด้านความกระด้าง ปริมาณแร่ธาตุ สิ่งสกปรก และสารเคมีปนเปื้อน การวิเคราะห์คุณภาพน้ำก่อนออกแบบระบบจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้สามารถกำหนดวิธีการบำบัดที่เหมาะสมที่สุด เช่น การใช้ระบบกรองทราย (Sand Filter) เพื่อดักจับตะกอนหยาบ การใช้ Activated Carbon เพื่อดูดซับกลิ่น สี และสารอินทรีย์ การใช้ระบบ Softener เพื่อลดความกระด้างของน้ำ หรือการใช้ระบบ RO (Reverse Osmosis) เพื่อผลิตน้ำบริสุทธิ์คุณภาพสูง

ระบบ Water Treatment เข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ

เพื่อให้ได้คุณภาพน้ำที่ตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งานมากที่สุด ในปัจจุบันหลายองค์กรให้ความสำคัญกับระบบ Water Treatment ในมิติของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะไม่เพียงแต่ช่วยบำบัดน้ำให้สะอาดก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ แต่ยังช่วยลดการปล่อยของเสีย ลดการปนเปื้อนของสารเคมีลงสู่แม่น้ำลำคลอง และลดผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวม บริษัทที่มีระบบ Water Treatment ที่มีประสิทธิภาพสูงยังสามารถนำผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมมาใช้เป็นจุดขายในการสร้างภาพลักษณ์องค์กรสีเขียว (Green Organization) ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและตอบโจทย์

อีกหนึ่งประโยชน์สำคัญของระบบ Water Treatment คือ

การช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้อย่างสม่ำเสมอ เพราะน้ำเป็นปัจจัยสำคัญในทุกกระบวนการ ไม่ว่าจะใช้ในการล้าง ทำความสะอาด การผลิต หรือเป็นส่วนประกอบของสินค้า หากน้ำมีความไม่สม่ำเสมอในด้านคุณภาพ ย่อมส่งผลให้ประสิทธิภาพของการผลิตลดลงหรือเกิดความเสียหายได้ ระบบ Water Treatment จึงช่วยรักษามาตรฐานการผลิตให้อยู่ในระดับที่ต้องการ ช่วยให้สินค้ามีคุณภาพคงที่ สำหรับภาคบริการ เช่น โรงแรม รีสอร์ต หรือสปา ระบบ Water Treatment ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะน้ำคือสิ่งที่ลูกค้าสัมผัสโดยตรง ทั้งในห้องพัก สระว่ายน้ำ หรือห้องน้ำ การมีระบบ Water Treatment ที่ดีจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าน้ำสะอาด ปลอดภัย ไม่มีกลิ่นหรือสีที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งส่งผลต่อความประทับใจของลูกค้าและคุณภาพของบริการโดยรวม ในบางกรณี ระบบ Water Treatment ยังสามารถออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้น้ำในสระว่ายน้ำโดยเฉพาะ เช่น ระบบเกลือ (Salt System) ที่ช่วยบำบัดน้ำให้สะอาดโดยไม่ต้องใช้คลอรีนในปริมาณสูง